รู ว่าเขาหลอก อย่าเต็มใจให้หลอก
นอกจากกินผักผลไม้ให้มากขึ้น สิ่งที่เราควรระวัง เตรียมตัว และทำความเข้าใจ คือความปลอดภัยของผักผลไม้ที่เรากิน เพราะทุกวันนี้ ผักผลไม้เชิงเดี่ยวในท้องตลาดมักมีของแถมเป็นสารเคมีที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกาย และหลักการจดจำเดิมๆ อย่างการเลือกผักที่มีรู เลือกผักที่มีตรารับรอง หรือเลือกกินผักพื้นบ้าน ใม่ใช่ทางออกที่ปลอดภัยเสมอไป เพราะมีการตรวจพบสารปนเปื้อนจากผักผลไม้เหล่านี้เช่นเดียวกัน มารู้เท่าทัน และคัดสรรผักผลไม้ที่เราไว้วางใจว่าจะไม่ถูกหลอกด้วยหลักการเบื้องต้นเหล่านี้
อ่านฉลาก อย่างฉลาด
หนึ่งในหนทางสู่การเลือกกินดี คือการรู้จักพลิกอ่านฉลากโภชนาการที่อยู่หลังซองหรือกล่องก่อนซื้อทุกครั้ง Greenery ลองถอดสูตรวิธีการอ่านตัวเลขแบบง่ายๆ ให้เอาไปใช้กันได้จริง เพื่อการเลือกกินอย่างฉลาด
ความดันทุเรียนสูง
ผลไม้ที่จัดอยู่ในหมวด ‘รักแรง เกลียดแรง’ คือใครเกลียดก็ไม่กินไปเลย แต่ใครที่รักก็รักมากๆ เฝ้ารอฤดูกาลที่ทุเรียนหอมฉุยจะมาถึง แล้วกินกันให้สมกับที่คิดถึง จนบางทีก็มากเกิน และส่งผลต่อพุงล้ำๆ และน้ำตาลในเส้นเลือด! รักการกินทุเรียนเราไม่ว่า แต่เราขอเตือนว่าการกินทุเรียนมีข้อควรระวัง เพื่อให้เราอยู่กินทุเรียนในฤดูกาลถัดไปได้อีกนานๆ
รวมของกินดี เอาที่สบายใจ
ถ้าเกิดหิวขึ้นมาในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องแวะร้านสะดวกซื้อ ก็ใช่ว่าเราจะไร้ทางเลือกในการ ‘กินดี’ ลองตั้งใจสอดส่องให้ดีว่าอาหารอะไรบ้างที่มีคุณสมบัติดังนี้ ไม่ผ่านการแปรรูป หรือแปรรูปน้อยที่สุด เลือกวิธีการปรุงแบบนึ่ง ต้ม หรืออบ หลีกเลี่ยงของทอด อ่านฉลากเบื้องต้น หลีกเลี่ยงอาหารที่น้ำตาลสูง โซเดียมสูง หรือไขมันสูง ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ถ้าเลือกและเลี่ยงได้ตามนี้ สบายใจได้ระดับนึงว่าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ไม่ถามหาแน่นอน
ผัก ระยะปลอดภัย
เพราะผักตามท้องตลาดทั่วไปที่เราไม่รู้ที่มา อาจเป็นผักที่ปลูกด้วยการใช้สารเคมี โดยไม่มีการตรวจสอบควบคุม ส่วนผักที่มีตรารับรองก็ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยแบบ 100% จึงเป็นเหตุผลที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องรู้จักเลือกและแยกแยะผักให้เป็น
รู้เท่าทันข่าว (News Literacy)
ในยุคของการสื่อสารแบบหลอมรวม ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของผู้คนเปลี่ยนไป คนใช้สื่อออนไลน์หรือสื่อโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกันมากขึ้น ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือ ไลน์ และเรามิได้เป็นเพียงผู้อ่านหรือรับชมสื่อเท่านั้น ในคน ๆ หนึ่งเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้รับสารในคร่าวเดียวกัน เราเน้นการแชร์ การส่งต่อ และการกระจายข่าวออกแบบรวดเร็ว ขาดการตรวจสอบ จึงทำให้เกิดปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอมเกิดขึ้นมากมาย ด้วยรูปแบบการสื่อสารในสังคมยุคนี้ เราทุกคนจึงกลายเป็น “พลเมืองดิจิทัล” ที่ต้องเรียนรู้และมีทักษะในการรู้เท่าทันข่าว หรือ News Literacy คือ มีความรอบรู้ คิดวิเคราะห์ และเลือกใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์
การบริหารจัดการเวลาบนโลกดิจิทัล (Screen Time Management)
ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการท่องโลกอินเทอร์เน็ตโดยกูเกิล พบว่าคนเราหยิบมือถือขึ้นมาดูเฉลี่ย 150 ครั้งต่อวัน รวมทั้งผลสำรวจพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิทัลเมื่อปี 2561 พบว่าประแทศไทยติดอันดับคนใช้เวลากับอนเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกเฉลี่ย 9 ชั่วโมง 38 นาทีต่อวัน และยังพบเด็กเล็ก วัยไม่ถึง 2 ขวบ สามารถใช้สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือเครื่องมือสื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว โดยยังไม่มีวุฒิภาวะในการเรียนรู้เรื่องการเท่าทันสื่อ ดังนั้นการบริหารจัดการเวลาบนโลกดิจิทัลในเด็กและเยาวชนจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่พ่อแม่และผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม โดยควรมีการจำกัดเวลาการอยู่ที่หน้าจอ ที่มิได้หมายถึงการห้ามอย่างเด็ดขาด แต่หมายถึงการสร้าง สมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีหรือ อุปกรณ์ดิจิทัลกับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยไม่กระทบต่อสุขภาพและ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเด็ก เพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีความรอบรู้ทางเทคโนโลยี และรู้เท่าทันสื่ออย่างเหมาะสมตามวัยนั่นเอง
ทักษะการเอาใจเขามาใส่ใจเราทางดิจิทัล (Digital Empathy)
การเอาใจเขามาใส่ใจเราทางดิจิทัล จัดเป็นประเด็นที่พลเมืองดิจิทัลควรให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น การเรียนรู้มารยาททางอินเทอร์เน็ต (Digital Etiquette) และการเอาใจเขามาใส่ใจเราทางดิจิทัล (Digital Empathy) เป็นทักษะที่ช่วยให้เราใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม รู้จักการสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานอื่นด้วยมารยาทอันดี รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเข้าอกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้ที่มีความแตกต่างจากเรา ไม่เพิกเฉยเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องในสังคม และมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น อันเป็นคุณลักษณะของพลเมืองประชาธิปไตย
สืบจับกรุ๊ปเมา ทีมพเนจรจัด
หนังสั้น สืบจับกรุ๊ปเมา โดย ทีมพเนจรจัด (นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามและวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ) เป็นผลงานซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดคลิปสั้น สารคดีสั้น และหนังสั้นด้วยมือถือ ในโครงการ “อย่าปล่อยให้เหล้ามาลวงเรา” ภายใต้โจทย์ กรุ๊ปเลือดเมา = คุก และหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยหนังสั้น ได้เล่าเรื่องการสืบสวนหาตัวคนกระทำความผิดจากเหตุการณ์รถชนกันจนผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้รับบาดเจ็บ และกุญแจสำคัญที่ไขปริศนาและหาตัวผู้ทำความผิด “ดื่มแล้วขับ” ก็คือ “การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาสารแอลกอฮอล์”
DrinkandDriveStory ทีมArt Gallery
Drink and Driver Story โดย ทีม Art Gallery (นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม) เป็นหนังสั้นที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากการประกวดคลิปสั้น สารคดีสั้น และหนังสั้นด้วยมือถือ โครงการ “อย่าปล่อยให้เหล้ามาลวงเรา” ภายใต้โจทย์ กรุ๊ปเลือดเมา = คุก และหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หนังสั้นเรื่องนี้ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องย้อนกลับไปยังต้นเหตุของเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกงุนงงว่าเหตุใดจึงถูกเจาะเลือด แล้วความทรงจำเขาก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จนพบความจริงที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ฆาตรกรที่ฆ่าน้องสาวของเขา ก็คือ เขาเอง
Late Night Ads ทีมThe1310
Late Night Ads โดย ทีมThe1310 เป็นหนังสั้นฝีมือการผลิตของกลุ่มคนทำสื่ออิสระ ที่เล่าเรื่อง ของ “สมโพช ”หนุ่มพนักงานออฟฟิศ ผู้ที่ได้รับแรงกดดันจากหัวหน้างานจนเกิดความเครียดและเก็บกด ในวันหนึ่งสมโพชเห็นคลิปโฆษณา “เบียร์ไอเบกซ์เซอร์” บนเฟซบุ๊กของเขา อิทธิพลของโฆษณานี้ทำให้เขาเกิดความอยากดื่มและตัดสินใจโพสต์ชวนเพื่อนไปดื่มสังสรรค์ที่บาร์เบียร์แห่งหนึ่ง และโฆษณานี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สมโพช ไม่ได้กลับมาเต้นเพลงแจ๊สแบบที่เขาชอบอีกต่อไป หนังสั้นเรื่องนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากการประกวดคลิปสั้น สารคดีสั้น และหนังสั้นด้วยมือถือ โครงการ “อย่าปล่อยให้เหล้ามาลวงเรา” ภายใต้โจทย์ กรุ๊ปเลือดเมา = คุก และหยุดโฆษณาแฝงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แถวตรง : ทีมผู้หญิงใส่แว่นคนนั้น
“แถวตรง” โดย ทีมผู้หญิงใส่แว่นคนนั้น เป็นหนังสั้นที่ผลิตขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเจาะเลือดตรวจเพื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ อีกหนึ่งมาตรการในการกวดขันและเอาจริงเอาจังประเด็น “เมาแล้วขับ” การเล่าเรื่องมีการนำคนมาแสดงเป็น “เลือด” และ “แอลกอฮอล์” เพื่อสื่อให้เห็นถึงโทษเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ขาดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ ถ้าคู่กรณี หรือตำรวจสงสัยว่าเมาสุราสามารถสั่งให้หยุดรถและสั่งให้เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์เพื่อตรวจได้ โดยถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโทษจำคุก 1 ปี, ปรับ 10,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือเพิกถอนใบขับขี่ และยึดรถไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน