ก่อการครู : ความเปลี่ยนแปลงของครูแกนนำรุ่น 1
วิดีทัศน์จากโครงการ ก่อการครู...ครูบันดาลใจ จุดไฟการเรียนรู้ สะท้อนกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงภาวะการเป็นผู้นำของ “ครู” เพื่อจุดประกายในการสอน และอบรมเด็กและเยาวชน เน้นการทำกระบวนการให้ครูฟังเสียงภายในตนเอง สร้างเครือข่ายกัลยาณมิตรครู เพื่อเห็นในคุณค่าความเป็นครู พร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้จากภายในสู่ภายนอกด้วยความรักและเอาใจใส่ต่อศิษย์ด้วยหัวใจและเมตตา
ปัญหาที่ดิน โดย คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
โครงการเสริมสร้างพลังเยาวชนสร้างสรรค์สื่อเพื่อสังคมที่น่าอยู่ ปัญหาที่ดิน ที่มีมาเนิ่นนานในสังคมไทย ไม่ได้เกิดขึ้นจากนักการเมืองหรือนายทุนอย่างที่เราๆ เข้าใจกันเพียงเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการจัดการ และกระจายทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ในที่สุดการบังคับใช้กฏหมายจึงอาจจะไม่ใช่ทางออกสุดท้ายของปัญหานี้
คุณเป็นหรือเปล่า โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness)
โรคทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) เป็นโรคใหม่ที่คนยุคปัจจุบันเป็นกันมาก สืบเนื่องมาจากภาวะของเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้สังคมหมุนไปอย่างรวดเร็ว โรคทนรอไม่ได้จะส่งผลเสียทำให้คนที่เป็นเกิดปัญหาสุขภาพทางอารมณ์ เรื้อรังกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตและกายตามมา หากใครมีอาการนี้ จะต้องแก้ไขโดยด่วน อินโฟกราฟิกชิ้นนี้มีทั้งสาเหตุ ทางออก และการแก้ไขมาฝากกันอย่างครบถ้วน
อย่าใช้คำทำร้ายคนในครอบครัว
กว่า 70 % ของปัญหาครอบครัว เกิดขึ้นจากการสื่อสารด้วยคำพูดที่ไม่ดีต่อกัน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการหย่าร้าง ดังนั้น ทุกครอบครอบครัวควรให้ความสำคัญกับการใช้ “คำพูด” และการสื่อสารที่ดีต่อกัน คือ คิดก่อนพูด ฟังให้มากกว่าพูด พูดจาไพเราะ ให้กำลังใจ ชื่นชม รู้จักกล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ และควรสื่อสารด้วยการคิดบวก หรือพูดเรื่องตลกขบขันบ้าง เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว
ครอบครัวเขา จะไปยุ่งทำไม
เพราะความรุนแรงไม่ใช่เรื่องภายในครอบครัว จากสถิติพบว่า ผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกายกว่า 12,000 รายต่อปี เด็กถูกทารุณกรรมกว่า 19,000 รายต่อปี ถูกข่มขืนกว่า 6,000 รายต่อปี และมีการค้ามนุษย์กว่า 110 รายต่อปี ดังนั้น หากวันนี้ถ้าเราพบเหตุการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ประชาบดี โทร 1300 หรือมูลนิธิปวีณา โทร 1134
ลักพาตัวเด็ก ปัญหาใหญ่ ไม่อาจมองข้าม
สื่ออินโฟกราฟิกสรุปข้อมูลสำคัญของปัญหาการลักพาตัวเด็กที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นอายุของเด็ก สถานที่ที่เด็กมักถูกลักพาตัว และท่าทีการเข้ามาหลอกลวงของคนร้าย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดได้ตระหนักและรู้เท่าทัน ไม่ให้เรื่องร้าย ๆ นี้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในสังคมของเรา
คุณภาพชีวิตเด็ก 2556 (Eng Version)
หนังสือคุณภาพชีวิตเด็ก 2556 ภาคภาษาอังกฤษ จัดทำโดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล แปลจากหนังสือคุณภาพชีวิตเด็ก 2556 ฉบับภาษาไทย เพื่อให้เกิดการเผยแพร่ในวงการวิชาการในระดับสากล ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือนำเสนอข้อมูลองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กในมิติต่าง ๆ ทั้งกาย ใจ อารมณ์ สังคมและปัญญา เพื่อการพัฒนาศักยภาพเด็กในทุกด้านอย่างสมบูรณ์
คุณภาพชีวิตเด็ก 2556 : ฟื้นความฝันการศึกษาให้เด็กไทย
หนังสือเล่มนี้ พาผู้อ่านไปมองภาพและสังเคราะห์ปัญหาระบบการศึกษาไทยในภาพรวมหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ การศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ หรือการศึกษาทางเลือก เพื่อมุ่งเป้าหมายในการกระตุ้นเตือนสังคมให้มองการศึกษาในแง่มุมใหม่ พาการศึกษาไทยไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ และเกิดการเรียนรู้สร้างสรรค์ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน
ปัญหาผู้สูงวัย หาดใหญ่
ผลงานจากโครงการอบรมสร้างสื่อสร้างสรรค์ ผลิตคลิปสั้นด้วยมือถือ (4 ภูมิภาค)
(ฆ่า) ย่ะ
ผลงานสารคดี ทีม Good Luck นิสิตภาควิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ตั้งคำถามกับขยะจำนวนมากมายที่เกิดขึ้นรอบตัว ก่อนจะพาไปดูศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองแสนสุข จ.ชลบุรี พูดคุย เรียนรู้ และมองเห็นมุมองอีกหลากหลายที่ทำให้เรารู้ว่า ปัญหาขยะไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของพวกเราอีกต่อไป
Gen A พลังอ่านเปลี่ยนเมือง ปี 2
คลิปประมวลความสำเร็จของโครงการ Gen A พลังอ่านเปลี่ยนเมือง โครงการที่พี่ ๆ ชาวอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย รวมพลังกันเป็นจิตอาสา เข้าไปทำกิจกรรมแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของน้อง ๆ โรงเรียนต่าง ๆ ด้วยการคิดสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน จินตนาการ และความรู้เรื่องการอ่านการเขียน ทำให้พี่ ๆ สามารถช่วยให้น้อง ๆ ระดับประถมเกิดทักษะการอ่านและเขียนที่ดีขึ้น รวมไปถึงทัศนคติที่ดีต่อการอ่านและการเขียน ทั้งนี้ในปีที่ 2 GenA พลังอ่านเปลี่ยนเมืองจะมุ่งลงสู่พื้นที่ภาคใต้ ใช้พลังการอ่านเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีระหว่างน้อง ๆ ภาคใต้และพี่ ๆ ภาคกลางที่ทั้งหมดล้วนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันเป็นแผ่นดินแม่ร่วมกัน
5 วิธีที่คุณครูจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก
การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จากการทำงานวิจัยในสหราชอาณาจักร โดย นักวิจัยชื่อ อลิซาเบซ แนซเซม นักวิจัยแห่ง The Centre for the Study of Practice and Culture in Education, Birmingham City University เธอทำวิจัยเรื่องนี้มานานกว่าทศวรรษและเสนอแนวทางเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระดับโรงเรียนและพบว่า แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำให้เด็ก ๆ มีบทบาทนำในการจัดการแก้ปัญหาดังกล่าว เธอเสนอ 5 วิธีที่ครูสามารถเริ่มต้นได้ ได้แก่ การปรับปรุงความเข้าใจเรื่องการกลั่นแกล้งรังแกขอบเขตของการกลั่นแกล้งรังแกกว้างขวาง นับตั้งแต่การแกล้งหยอกล้อกันแบบเบา ๆ ไปจนถึงขั้นรุนแรง เช่น การตั้งฉายา หรือ การตบตี ซึ่งครูในโรงเรียนสามารถพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอ หรือ ถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงได้รังแกเพื่อน และคุยกับพวกเขาว่า ควรแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร บ่อยครั้งที่การกลั่นแกล้งรังแกกัน เกิดขึ้นเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่เพื่อน หรือบ้างเป็นการลงมือทำเพื่อแก้เซ็ง หนทางที่สำคัญคือ การดึงเด็ก ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ให้คำปรึกษากับเด็กนักเรียนครูสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจพฤติกรรมของตัวเองที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งรังแกเพื่อนและช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้น ๆ ด้วยการพูดคุยกับเด็ก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างไร เด็ก ๆ จะมีแนวทางที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในแบบที่เคารพอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไรหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ซึ่งการใช้วิธีการแบบสมมุติบทบาท (role-playing) ตามฉากของสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยในการทำความเข้าใจแบบแผนพฤติกรรมในทางลบได้ชัดเจนขึ้น โรงเรียนสามารถจัดให้มีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้แบบเชิงรุก การจัดกิจกรรมนี้ โรงเรียนควรจัดให้มีเป็นประจำมากกว่าจะคอยแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การสนับสนุนให้นักเรียนช่วยแก้ปัญหา ครูสามารถปรึกษากับเด็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายที่รังแกเพื่อนและถูกเพื่อนรังแก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นด้วยกัน และมองหาทางออกหรือข้อเสนอแนะต่อปัญหานั้น ๆ เช่น การสร้างบรรยากาศให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และให้พวกเขาบอกเล่าความรู้สึก และเปิดให้พวกเขาได้เรียนรู้การมีปฎิสัมพันธ์ต่อเรื่องที่อาจสร้างความเกรี้ยวกราดด้วยวิธีการที่ใจเย็นและสงบลง วิธีหนึ่งที่นักวิจัยเลือกใช้คือ การให้เด็ก ๆ เขียนบันทึกประจำวันเป็นประจำ เพื่อให้มีช่องทางระบายอารมณ์ในเชิงบวก การจัดให้เด็กนักเรียนได้มาพบปะพูดคุยกัน ภายหลังจากที่ครูได้แยกคุยกับเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันทีละคนแล้ว ครูควรจะเปิดให้มีการพบปะพูดคุยระหว่างกัน การเปิดให้ได้พูดคุยหรือซักถามกันอย่างตรงไปตรงมาระหว่างเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง เป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกันระหว่างครูกับนักเรียนนักวิจัยย้ำว่า การแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน ครูควรจะพูดคุยกับเด็ก ๆ ด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังและตอบสนองต่อมุมมองของเด็กนักเรียน ให้เวลามากเพียงพอในการทำความเข้าใจแง่มุมหรือความเห็นของพวกเขา การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จากการทำงานวิจัยในสหราชอาณาจักร โดย นักวิจัยชื่อ อลิซาเบซ แนซเซม นักวิจัยแห่ง The Centre for the Study of Practice and Culture in Education, Birmingham City University เธอทำวิจัยเรื่องนี้มานานกว่าทศวรรษและเสนอแนวทางเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระดับโรงเรียนและพบว่า แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำให้เด็ก ๆ มีบทบาทนำในการจัดการแก้ปัญหาดังกล่าว เธอเสนอ 5 วิธีที่ครูสามารถเริ่มต้นได้ ได้แก่ การปรับปรุงความเข้าใจเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ขอบเขตของการกลั่นแกล้งรังแกกว้างขวาง นับตั้งแต่การแกล้งหยอกล้อกันแบบเบา ๆ ไปจนถึงขั้นรุนแรง เช่น การตั้งฉายา หรือ การตบตี ซึ่งครูในโรงเรียนสามารถพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอ หรือ ถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงได้รังแกเพื่อน และคุยกับพวกเขาว่า ควรแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร บ่อยครั้งที่การกลั่นแกล้งรังแกกัน เกิดขึ้นเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่เพื่อน หรือบ้างเป็นการลงมือทำเพื่อแก้เซ็ง หนทางที่สำคัญคือ การดึงเด็ก ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ให้คำปรึกษากับเด็กนักเรียน ครูสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจพฤติกรรมของตัวเองที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งรังแกเพื่อนและช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้น ๆ ด้วยการพูดคุยกับเด็ก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างไร เด็ก ๆ จะมีแนวทางที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในแบบที่เคารพอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไรหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ซึ่งการใช้วิธีการแบบสมมุติบทบาท (role-playing) ตามฉากของสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยในการทำความเข้าใจแบบแผนพฤติกรรมในทางลบได้ชัดเจนขึ้น โรงเรียนสามารถจัดให้มีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้แบบเชิงรุก การจัดกิจกรรมนี้ โรงเรียนควรจัดให้มีเป็นประจำมากกว่าจะคอยแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การสนับสนุนให้นักเรียนช่วยแก้ปัญหา ครูสามารถปรึกษากับเด็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายที่รังแกเพื่อนและถูกเพื่อนรังแก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นด้วยกัน และมองหาทางออกหรือข้อเสนอแนะต่อปัญหานั้น ๆ เช่น การสร้างบรรยากาศให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และให้พวกเขาบอกเล่าความรู้สึก และเปิดให้พวกเขาได้เรียนรู้การมีปฎิสัมพันธ์ต่อเรื่องที่อาจสร้างความเกรี้ยวกราดด้วยวิธีการที่ใจเย็นและสงบลง วิธีหนึ่งที่นักวิจัยเลือกใช้คือ การให้เด็ก ๆ เขียนบันทึกประจำวันเป็นประจำ เพื่อให้มีช่องทางระบายอารมณ์ในเชิงบวก การจัดให้เด็กนักเรียนได้มาพบปะพูดคุยกัน ภายหลังจากที่ครูได้แยกคุยกับเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันทีละคนแล้ว ครูควรจะเปิดให้มีการพบปะพูดคุยระหว่างกัน การเปิดให้ได้พูดคุยหรือซักถามกันอย่างตรงไปตรงมาระหว่างเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง เป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกันระหว่างครูกับนักเรียน นักวิจัยย้ำว่า การแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน ครูควรจะพูดคุยกับเด็ก ๆ ด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังและตอบสนองต่อมุมมองของเด็กนักเรียน ให้เวลามากเพียงพอในการทำความเข้าใจแง่มุมหรือความเห็นของพวกเขา ที่มา: https://www.theguardian.com/teacher-network/2018/jan/17/bullying-is-still-rife-in-schools-heres-how-teachers-can-tackle-it