เรื่องเล่าสำหรับเด็กออทิสติก : สวัสดี ฉบับ เด็กหญิง
สวัสดี ฉบับเด็กหญิง เป็น 1 ในนิทานเรื่องเล่าทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก เนื้อเรื่องในเล่มนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมพฤติกรรมให้เด็กรู้จักการไหว้สวัสดีคุณครูที่โรงเรียน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่น่าชื่นชม
คนสร้างสุข ตอน ครูอ๋วน จันทร์เพ็ญ สินสอน ep.2
คนสร้างสุข ตอน ครูอ๋วน - จันทร์เพ็ญ สินสอน ตอนที่ 2 เนื้อหาว่าด้วยอีกบทบาทหนึ่งของครูอ๋วน ที่เสริมพลังการอ่านให้ชุมชน จ.สุรินทร์ ด้วยโครงการชุมชนสวัสดิการอ่านยกกำลังสุข ที่ได้รับงบประมาณจาก สสส. ในการซื้อหนังสือและการจัดอบรมพัฒนาบุคลากร โดยครูอ๋วนนำการอ่านไปผสานกับวัฒนธรรมชุมชนที่ตลาดเขียว จ.สุรินทร์ เป็นงานรณรงค์สาธารณะที่ทำให้การอ่านได้เข้าถึงทุกคนในชุมชนอย่างแท้จริง
คนสร้างสุข ตอน ครูอ๋วน จันทร์เพ็ญ สินสอน ep.1
พบเรื่องราวของครูอ๋วน -จันทร์เพ็ญ สินสอน แห่งบ้านเรียนพระคุณ ตอนที่ 1 เนื้อหาเล่าถึงแรงบันดาลใจของคุณครูที่มองเห็นศักยภาพของเด็ก ๆ จึงมาเปิดบ้านเรียนพระคุณ มุ่งเน้นการใช้สื่อการอ่านเพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช้สื่อภาพเคลื่อนไหว เปิดโอกาสเด็ก ๆ ได้เติบโตและพัฒนาตามศักยภาพของตัวเอง ทั้งความคิด และจินตนาการ
ผู้ใหญ่รู้ไหม ...มีอะไรอยู่ในหนังสือเด็ก โดย ครูชีวัน วิสาสะ
คลิปจากกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการฐานเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมองและทักษะการอ่าน 'ปลดล็อกสมอง ให้เด็กพร้อมอ่าน' หัวข้อ 'ผู้ใหญ่รู้ไหม...มีอะไรอยู่ในหนังสือเด็ก' โดย ครูชีวัน วิสาสะ เนื้อหาคลิปชวนให้ผู้ใหญ่มองลึกลงไปถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนังสือภาพ ที่มีทั้ง 'ปริมาณ คุณภาพ และความสนุกสนาน' แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ใหญ่จะต้อง 'รู้จัก เข้าใจ ใช้เป็น และเห็นคุณค่า' โดยครูชีวันได้หยิบยกตัวอย่างหนังสือภาพ เช่น ไม่อยากเป็นควาย อย่ายอมให้เจ้านกพิราบขับรถเมล์ หรือแม้กระทั่งหนังสือสอนการอ่านวิทยาศาสตร์เบื้องต้น หากผู้ใหญ่มองเห็น เข้าใจ ใช้หนังสือให้เป็น ก็จะเกิดคุณค่ามหาศาลสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก
มหัศจรรย์หนังสือและการอ่าน จ.อุตรดิตถ์ ครูกาญจนา จันทร์ประดิษฐ์
คลิปสัมภาษณ์ครูกาญจนา จันทร์ประดิษฐ์ คุณครู ศพด. จาก จ.อุตรดิตถ์ ถึงกิจกรรมการอ่านที่คุณครูได้ริเริ่มทำใน ศพด. ร่วมกับเด็กและผู้ปกครอง รวมถึงการสะท้อนความรู้สึก สิ่งที่ได้รับและเทคนิคต่าง ๆ ที่ได้จากการร่วมกิจกรรมอบรมโดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ซึ่งทำให้คุณครูสามารถใช้เทคนิคการอ่านหนังสือนิทานได้คล่องแคล่ว สร้างสรรค์นิทานเรื่องใหม่ ๆ พร้อมทั้งกิจกรรมต่อยอดกับผู้ปกครองเพื่อส่งเสริมการอ่านให้เด็ก ๆ ใน ศพด. ได้ต่อไป
เรื่องเล่าสำหรับเด็กออทิสติก : สวัสดี ฉบับ เด็กชาย
สวัสดี ฉบับเด็กชาย เป็น 1 ในนิทานเรื่องเล่าทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก เนื้อเรื่องในเล่มนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมพฤติกรรมให้เด็กรู้จักการไหว้สวัสดีคุณครูที่โรงเรียน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่น่าชื่นชม
5 วิธีที่คุณครูจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก
การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จากการทำงานวิจัยในสหราชอาณาจักร โดย นักวิจัยชื่อ อลิซาเบซ แนซเซม นักวิจัยแห่ง The Centre for the Study of Practice and Culture in Education, Birmingham City University เธอทำวิจัยเรื่องนี้มานานกว่าทศวรรษและเสนอแนวทางเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระดับโรงเรียนและพบว่า แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำให้เด็ก ๆ มีบทบาทนำในการจัดการแก้ปัญหาดังกล่าว เธอเสนอ 5 วิธีที่ครูสามารถเริ่มต้นได้ ได้แก่ การปรับปรุงความเข้าใจเรื่องการกลั่นแกล้งรังแกขอบเขตของการกลั่นแกล้งรังแกกว้างขวาง นับตั้งแต่การแกล้งหยอกล้อกันแบบเบา ๆ ไปจนถึงขั้นรุนแรง เช่น การตั้งฉายา หรือ การตบตี ซึ่งครูในโรงเรียนสามารถพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอ หรือ ถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงได้รังแกเพื่อน และคุยกับพวกเขาว่า ควรแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร บ่อยครั้งที่การกลั่นแกล้งรังแกกัน เกิดขึ้นเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่เพื่อน หรือบ้างเป็นการลงมือทำเพื่อแก้เซ็ง หนทางที่สำคัญคือ การดึงเด็ก ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ให้คำปรึกษากับเด็กนักเรียนครูสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจพฤติกรรมของตัวเองที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งรังแกเพื่อนและช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้น ๆ ด้วยการพูดคุยกับเด็ก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างไร เด็ก ๆ จะมีแนวทางที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในแบบที่เคารพอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไรหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ซึ่งการใช้วิธีการแบบสมมุติบทบาท (role-playing) ตามฉากของสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยในการทำความเข้าใจแบบแผนพฤติกรรมในทางลบได้ชัดเจนขึ้น โรงเรียนสามารถจัดให้มีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้แบบเชิงรุก การจัดกิจกรรมนี้ โรงเรียนควรจัดให้มีเป็นประจำมากกว่าจะคอยแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การสนับสนุนให้นักเรียนช่วยแก้ปัญหา ครูสามารถปรึกษากับเด็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายที่รังแกเพื่อนและถูกเพื่อนรังแก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นด้วยกัน และมองหาทางออกหรือข้อเสนอแนะต่อปัญหานั้น ๆ เช่น การสร้างบรรยากาศให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และให้พวกเขาบอกเล่าความรู้สึก และเปิดให้พวกเขาได้เรียนรู้การมีปฎิสัมพันธ์ต่อเรื่องที่อาจสร้างความเกรี้ยวกราดด้วยวิธีการที่ใจเย็นและสงบลง วิธีหนึ่งที่นักวิจัยเลือกใช้คือ การให้เด็ก ๆ เขียนบันทึกประจำวันเป็นประจำ เพื่อให้มีช่องทางระบายอารมณ์ในเชิงบวก การจัดให้เด็กนักเรียนได้มาพบปะพูดคุยกัน ภายหลังจากที่ครูได้แยกคุยกับเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันทีละคนแล้ว ครูควรจะเปิดให้มีการพบปะพูดคุยระหว่างกัน การเปิดให้ได้พูดคุยหรือซักถามกันอย่างตรงไปตรงมาระหว่างเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง เป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกันระหว่างครูกับนักเรียนนักวิจัยย้ำว่า การแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน ครูควรจะพูดคุยกับเด็ก ๆ ด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังและตอบสนองต่อมุมมองของเด็กนักเรียน ให้เวลามากเพียงพอในการทำความเข้าใจแง่มุมหรือความเห็นของพวกเขา การกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จากการทำงานวิจัยในสหราชอาณาจักร โดย นักวิจัยชื่อ อลิซาเบซ แนซเซม นักวิจัยแห่ง The Centre for the Study of Practice and Culture in Education, Birmingham City University เธอทำวิจัยเรื่องนี้มานานกว่าทศวรรษและเสนอแนวทางเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ในระดับโรงเรียนและพบว่า แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำให้เด็ก ๆ มีบทบาทนำในการจัดการแก้ปัญหาดังกล่าว เธอเสนอ 5 วิธีที่ครูสามารถเริ่มต้นได้ ได้แก่ การปรับปรุงความเข้าใจเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ขอบเขตของการกลั่นแกล้งรังแกกว้างขวาง นับตั้งแต่การแกล้งหยอกล้อกันแบบเบา ๆ ไปจนถึงขั้นรุนแรง เช่น การตั้งฉายา หรือ การตบตี ซึ่งครูในโรงเรียนสามารถพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอ หรือ ถามถึงสาเหตุว่า ทำไมถึงได้รังแกเพื่อน และคุยกับพวกเขาว่า ควรแก้ปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร บ่อยครั้งที่การกลั่นแกล้งรังแกกัน เกิดขึ้นเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่นิยมชื่นชอบในหมู่เพื่อน หรือบ้างเป็นการลงมือทำเพื่อแก้เซ็ง หนทางที่สำคัญคือ การดึงเด็ก ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ให้คำปรึกษากับเด็กนักเรียน ครูสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจพฤติกรรมของตัวเองที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งรังแกเพื่อนและช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้น ๆ ด้วยการพูดคุยกับเด็ก ๆ ว่า เกิดอะไรขึ้น การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างไร เด็ก ๆ จะมีแนวทางที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในแบบที่เคารพอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไรหากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ซึ่งการใช้วิธีการแบบสมมุติบทบาท (role-playing) ตามฉากของสถานการณ์ต่าง ๆ จะช่วยในการทำความเข้าใจแบบแผนพฤติกรรมในทางลบได้ชัดเจนขึ้น โรงเรียนสามารถจัดให้มีการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้แบบเชิงรุก การจัดกิจกรรมนี้ โรงเรียนควรจัดให้มีเป็นประจำมากกว่าจะคอยแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การสนับสนุนให้นักเรียนช่วยแก้ปัญหา ครูสามารถปรึกษากับเด็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายที่รังแกเพื่อนและถูกเพื่อนรังแก เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นด้วยกัน และมองหาทางออกหรือข้อเสนอแนะต่อปัญหานั้น ๆ เช่น การสร้างบรรยากาศให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และให้พวกเขาบอกเล่าความรู้สึก และเปิดให้พวกเขาได้เรียนรู้การมีปฎิสัมพันธ์ต่อเรื่องที่อาจสร้างความเกรี้ยวกราดด้วยวิธีการที่ใจเย็นและสงบลง วิธีหนึ่งที่นักวิจัยเลือกใช้คือ การให้เด็ก ๆ เขียนบันทึกประจำวันเป็นประจำ เพื่อให้มีช่องทางระบายอารมณ์ในเชิงบวก การจัดให้เด็กนักเรียนได้มาพบปะพูดคุยกัน ภายหลังจากที่ครูได้แยกคุยกับเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันทีละคนแล้ว ครูควรจะเปิดให้มีการพบปะพูดคุยระหว่างกัน การเปิดให้ได้พูดคุยหรือซักถามกันอย่างตรงไปตรงมาระหว่างเด็ก ๆ ที่เป็นคู่ขัดแย้ง เป็นทางหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกันระหว่างครูกับนักเรียน นักวิจัยย้ำว่า การแก้ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งรังแก ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน ครูควรจะพูดคุยกับเด็ก ๆ ด้วยความเคารพ ตั้งใจฟังและตอบสนองต่อมุมมองของเด็กนักเรียน ให้เวลามากเพียงพอในการทำความเข้าใจแง่มุมหรือความเห็นของพวกเขา ที่มา: https://www.theguardian.com/teacher-network/2018/jan/17/bullying-is-still-rife-in-schools-heres-how-teachers-can-tackle-it
Digital Footprint ในมุมมองของครูโอ ปราศรัย เจตสันติ์
สังคมในยุคดิจิทัล มีความรวดเร็วในการรับรู้ข่าวสาร แสดงความคิดเห็น และสร้างสื่อนำเสนอบนโลกออนไลน์อย่างมาก ทำให้ผลกระทบของ DF ไม่ได้เพียงกระทบแค่ในวงจำกัดเท่านั้น แต่ยังสามารถแชร์ข้อมูลไปสู่สังคมได้ง่าย สังคมที่มีความระมัดระวังในการใช้สื่อดิจิทัล จะตระหนักเสมอว่า เมื่อใดที่มีการสร้างสื่อ หรือโพสต์ข้อความใดๆ เป็นการนำเสนอความคิดสู่สาธารณะ ย่อมหมายถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อสังคมและผู้คน
ภาษาไทยน่ารู้กับคุณครูติ๋มจากเพลง พูดเพราะ ๆ
เรียนภาษาไทยกับครูติ๋มตอนนี้ ไปเรียนรู้คำไทยจากเพลงพูดเพราะ ๆ นอกจากเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้คำว่าพูดเพราะและหยาบคายว่ามีความหมายต่างกันอย่างไร ต้องอย่าลืมฝึกพูดเพราะ ๆ กันด้วย จะได้มีแต่คนชื่นชม
ภาษาไทยน่ารู้กับคุณครูติ๋มจากเพลง ผึ้งตัวนั้นขยันจัง
ครั้งนี้คุณครูติ๋มมาชวนเรียนภาษาไทยสนุก ๆ จากเพลงผึ้งตัวนั้นขยันจัง ไปรู้จักกับผึ้ง และคำว่า เกี่ยง ว่ามีความหมายว่าอะไร นอกจากนี้ยังมีคำเตือนสำหรับเด็ก ๆ อีกด้วยถึงอันตรายของผึ้ง อย่าเข้าใกล้ผึ้งเพราะอาจจะโดนต่อยได้